ENG KU NEWS

วันจันทร์ที่ 06 ตุลาคม พ.ศ. 2566
ข่าวล่าสุด :
คณะวิศวฯ – คณะสังคมศาสตร์ คณะเทคนิคการสัตวแพทย์ มก. ร่วมจัด Workshop ครั้งที่ 2 KU Innovation Contest ครั้งที่ 5คณะวิศวกรรมศาสตร์ ร่วมงานนนทรีสีทองคณะวิศวฯ จัดงาน ดงตาลผูกพัน สายสัมพันธ์วันเกษียณ ประจำปี 2568คณะวิศวฯ ร่วมงานสถาปนาสำนักบริหารการศึกษา มก. ครบรอบปีที่ 33นิสิตวิศวกรรมไฟฟ้า ร่วมกิจกรรม เยี่ยมชมรัฐสภา 360 องศา เรียนรู้ระบบงานรัฐสภา กับประธานคณะ กมธ.Dongtaan Racing ทีมนิสิตจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คว้ารางวัลใหญ่บนเวที Formula Student ระดับโลกที่ญี่ปุ่นคณะวิศวฯ จัดกิจกรรม Kick Off AIoT InnoWorks Thailand 2025คณะวิศวฯ นำนิสิต ศึกษาดูงาน ณ บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน)คณะวิศวฯ ร่วมกับบริษัท เซินเจิ้น ดูบอท ครอป จำกัด สาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมมือทางวิชาการ วิจัย พัฒนาหุ่นยนต์คณาจารย์คณะวิศวฯ ร่วมเป็นกรรมการตัดสินรอบชิงชนะเลิศ การประกวดนวัตกรรมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม กฟผ.

รายงานการสำรวจทางวิศวกรรม: กรณีแผ่นดินไหวประเทศเนปาล โดย รองศาสตราจารย์ ดร.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์ หัวหน้าศูนย์วิจัยและพัฒนาวิศวกรรมปฐพีและฐานราก ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

 

ข่าววิศวกรรมศาสตร์ ขอคัดเนื้อหาบางส่วนของการสำรวจทางวิศวกรรม กรณีแผ่นดินไหว ณ ประเทศเนปาล โดยรองศาสตราจารย์ ดร.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์ หัวหน้าศูนย์วิจัยและพัฒนาวิศวกรรมปฐพีและฐานราก ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ได้เข้าร่วมสำรวจทางวิศวกรรม ในพื้นที่ความเสียหาย ภายหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว ณ ประเทศเนปาล คือ ในช่วงระหว่างวันที่ 4-6 พฤษภาคม 2558 โดยได้รับความร่วมมืออย่างดีจากหน่วยงานและมูลนิธิในพื้นที่ โดยในทีมสำรวจประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการภัยธรรมชาติจากประเทศญี่ปุ่น นักข่าวในพื้นที่ และทีมข่าวสถานีไทย พีบีเอส โดยได้ทำการสำรวจทั้งใน และนอกเมืองหลวง ซึ่งข่าววิศวกรรมศาสตร์ ได้คัดเนื้อหาบางส่วนมาเผยแพร่เพื่อเป็นข้อมูลทางวิศวกรรม ดังนี้

ลักษณะธรณีสัณฐาน และประวัติการเกิดแผ่นดินไหว

ประเทศเนปาลตั้งอยู่บริเวณรอยต่อของแผ่นเปลือกโลก 2 แผ่นที่ชน และมุดยกตัว ทำให้เกิดเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งลักษณะการชนกันของแผ่นเปลือกโลกลักษณะนี้ มักจะเป็นพื้นที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ ในอดีตพื้นที่นี้ได้เคยเกิดแผ่นดินไหวมาอย่างต่อเนื่อง แต่เว้นพื้นที่เกิดแผ่นดินไหวครั้งนี้ ซึ่งนักวิชาการต่างประเทศเรียกพื้นที่นี้ว่า Seismic Gap หรือพื้นที่ที่เป็นช่องว่างที่ยังไม่เกิดแผ่นดินไหว ซึ่งจะมีความเสี่ยงสูงมากในการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่พื้นที่นี้

นอกจากนั้นหากสังเกตแผนที่ความรุนแรงแผ่นดินไหว (Earthquake Intensity) จะพบว่าความรุนแรงที่กรุงกาฐมาณฑุนั้นมีความรุนแรงมาก ทั้งที่อยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวถึงกว่า 80 กม. ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงลักษณะภูมิประเทศ จะพบว่าพื้นที่ของเมืองหลวงนั้น ตั้งอยู่ในพื้นที่แอ่งตะกอนที่อยู่ท่ามกลางพื้นที่ภูเขา ซึ่งลักษณะดังกล่าวมีโอกาสที่จะทำให้เกิดการขยายความรุนแรงได้

การสำรวจความเสียหาย

การสำรวจความเสียหายได้ดำเนินการทั้งในและนอกพื้นที่เมือง โดยจะขอสรุปรูปแบบความเสียหายทางวิศวกรรมที่สำคัญเป็นประเด็น ดังต่อไปนี้

  • การพิบัติที่ชั้นล่างอาคาร (Base shear failure)
    อาคารในเมืองหลวงที่เกิดการพิบัติมีประมาณ 30% โดยในจำนวนดังกล่าว พบว่า มีอาคารที่พิบัติหรือเสียหายรุนแรงมักจะเป็นโรงแรม หรือ ร้านค้าที่ชั้นล่างเปิดโล่ง หรือมีความสูงของชั้นล่างสูงกว่าชั้นอื่น สำหรับอาคารที่ไม่สูงนักและชั้นล่างทึบ ความเสียหายก็จะลดลง พื้นที่ที่พบการพิบัติลักษณะนี้มากที่สุด เป็นย่านการค้าใกล้สถานีขนส่งประจำเมือง (Gongabu) เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก และบางอาคารที่ถล่มเป็นอาคารที่เพิ่งก่อสร้างเสร็จใหม่

ความเสียหายจากการสั่นไหว (Vibration damage)

            เนื่องจากอาคารส่วนใหญ่ในเมืองหลวงมีความสูงไม่มาก จึงมีอาคารไม่มากนักที่จะเสียหายในลักษณะที่ผนังแตกเป็นตัว X ซึ่งการแตกของกำแพงในลักษณะดังกล่าวบ่งบอกถึงการโยกไปมาของอาคาร ทำให้กำแพงแตกจากแรงทั้งสองทิศทาง

  • อาคารโบราณสถาน
    จากการสำรวจพบว่าอาคารโบราณสถานหลายแห่งได้เกิดการพังทลายลง หรือเกิดความเสียหายอย่างหนัก หลายแห่ง พบว่าอาคารโบราณสถานส่วนใหญ่ นั้นได้รับความเสียหายมากกว่าอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กอย่างชัดเจน และหลายอาคารอาจจะไม่สามารถสร้างใหม่กลับมาให้เหมือนเดิมได้ จึงเป็นข้อคิดสำหรับอาคารโบราณสถานที่สำคัญในประเทศไทยที่อาจจะต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ และหาทางป้องกันไว้ก่อน โดยอาจใช้ Base isolator ติดตั้งใต้ฐานอาคารเพื่อช่วยในการลดความเสียหาย
  • สภาพความเสียหายของอาคารในพื้นที่ชนบท
    นอกพื้นที่เมืองหลวงส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ภูเขา ประชาชนอยู่อาศัยตามแนวสันเขาและตามที่ลาดชัน ลาดชันภูเขาจะถูกตัดเป็นขั้นบันไดเพื่อทำการเกษตร ซึ่งสภาพความเสียหายในพื้นที่ชนบทนั้นมีความรุนแรงไม่ต่างกับในเมืองหลวงและดูเหมือนจะเสียหายมากกว่ามาก เนื่องจากอาคารบ้านเรือนนั้นปลูกสร้างโดยระบบโครงสร้างกำแพงหินหรืออิฐก่อรับแรง (Bearing wall) ที่แม้จะมีความสามารถในการรับแรงในแนวดิ่งได้ดี แต่ก็จะไม่สามารถรับแรงด้านข้างได้
    การสร้างอาคารลักษณะนี้ โดยการนำหินมาก่อเรียงขึ้นมา และประสานด้วยดินจากนั้นจะฉาบปิดด้วยดินผสมฟาง หรือดินล้วน ภายในอาคารจะทำการตั้งเสาไม้เพื่อค้ำพื้น และคานชั้นบนโดยคานชั้นบนจะเสียบฝังเข้าไปในกำแพงซึ่งเป็นวิธีในการก่อสร้างบ้านดินตามชนบท ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย โดยของประเทศไทยจะทำการสร้างอิฐสดจากดินผสมฟางตากให้แห้งแล้วนำมาก่อ หรืออาจใช้อิฐบล็อกก่อเป็นกำแพงรับแรงโดยไม่มีเสาคอนกรีตเสริมเหล็กแต่อย่างใด ลักษณะอาคารประเภทนี้ถือเป็นโครงสร้างที่อันตรายที่สุดสำหรับการรับแรงด้านข้าง ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีอาคารดังกล่าวเสียหาย และถึงขั้นถล่มลงมาทั้งหลังจำนวนมาก

บทเรียนที่สำคัญที่เราได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ครั้งนี้

สำหรับประเทศไทยคือเราคงจะต้องเตรียมพร้อมในเรื่องอาคารที่อยู่อาศัยให้ปลอดภัยทั้งนี้ หากจำแนกประเภทของอาคารที่มีอยู่ในปัจจุบันตามความปลอดภัยอาจจะประกอบด้วย 1.อาคารที่ไม่ได้สร้างตามหลักวิศวกรรม 2. อาคารที่สร้างตามหลักวิศวกรรมแต่ไม่ได้ออกแบบต้านแผ่นดินไหว 3. อาคารที่ออกแบบตามหลักวิศวกรรมและต้านแผ่นดินไหว ซึ่งอาคารที่น่าเป็นห่วงคืออาคารประเภทที่ 1 และ 2 ซึ่งมีจำนวนมาก คำถามคือเราจะทำอย่างไรกัน

ทั้งนี้ มีข้อเสนอแนวทางในการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม 2 ประการได้แก่

  1. รัฐบาลจำเป็นต้องออกกฎหมายที่เกี่ยวกับอาคารที่ไม่ได้ควบคุมแต่อยู่ในพื้นที่แผ่นดินไหวให้จะต้องเป็นอาคารที่อย่างน้อยไม่ใช่อาคารที่ไม่ได้เสริมแรงหรือเป็นอาคาร Bearing wall แบบที่เป็นอิฐก่อ โดยควรให้เงินอุดหนุนสำหรับเจ้าของบ้านเป็นบางส่วนเพื่อดำเนินการปรับปรุงอาคารให้ปลอดภัย ดังตัวอย่างที่ประเทศญี่ปุ่นหลังแผ่นดินไหวที่โกเบรัฐบาลได้ให้เงินสนับสนุนบางส่วนกับประชาชน เพื่อกระตุ้นให้มีการปรับปรุงความแข็งแรงของบ้านให้สามารถต้านแผ่นดินไหว
  2. ควรมีกฎหมายกำหนดการทำประกันกับอาคารประเภทต่าง ๆ ที่เหมาะสม โดยเฉพาะ อาคารสาธารณะและอาคารของราชการเพื่อให้ระบบประกันเป็นตัวผลักดันให้อาคารปลอดภัยอีกทอดหนึง

…ทั้งนี้ ภัยแผ่นดินไหว ยังคงเป็นภัยที่ไม่สามารถคาดการณ์เวลาเกิดได้ แต่เราคาดการณ์ความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ดังนั้นเราจึงไม่ควรมานั่งกังวล หรือถามว่าแผ่นดินไหวจะเกิดหรือไม่อย่างไร แต่เราควรเตรียมตัวของเราให้พร้อมโดยการอยู่อาศัยในบ้านที่ปลอดภัย หรือมีระบบประกันที่จะช่วยแนะนำเราหรือประเมินความมั่นคงของอาคารเรา…

แสดงความคิดเห็น

เกี่ยวกับเรา

ข่าวล่าสุด

ติดตามเราได้ที่