เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2564 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) ร่วมกับกลุ่มบริษัท อินเทลโนเวชั่น ส่งมอบตู้ความดันบวกให้ทีมแพทย์โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า โดยมีรองศาสตราจารย์ ดร.พีรยุทธ์ ชาญเศรษฐิกุล คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ พร้อมด้วยคุณภัทรันดา ลีละยูวะ และนายสัตวแพทย์ธนันต์ ลีละยูวะ ผู้บริหารกลุ่มบริษัท อินเทลโนเวชั่น ร่วมส่งมอบตู้ความดันบวกให้กับนายแพทย์มณเฑียร เพ็งสมบัติ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า
ตู้ความดันบวกดังกล่าว ออกแบบและพัฒนาโดยทีมอาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวฯ มก. นำโดย ผศ.ดร.ประพจน์ ขุนทอง หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล รศ.ดร.วีรชัย ชัยวรพฤกษ์ ผศ.ดร.เกรียงไกร อัศวมาศบันลือ ผศ.ดร.อรรถพร วิเศษสินธุ์ และ ผศ.ดร.เจตวีย์ ภัครัชพันธุ์ โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณการจัดสร้างตู้ความดันบวกจากกลุ่มบริษัท อินเทลโนเวชั่น จำนวน 1.5 แสนบาท
หลักการทำงานของตู้ความดันบวก คือ แพทย์ผู้ตรวจจะอยู่ภายในตู้ตรวจ และผู้ป่วยอยู่ภายนอก โดยแพทย์จะเข้า-ออกตู้ตรวจผ่านประตูกระจก เพิ่มความปลอดภัย มั่นใจทั้งผู้ใช้งานและผู้เข้ารับการตรวจ สามารถใช้ตรวจ ผู้ป่วยได้ 20-30 คน/ชั่วโมง/ตู้
นอกจากนี้ ตู้ความดันบวกยังมีเครื่องปรับอากาศเพิ่มความสบายให้กับผู้ปฏิบัติงานภายในตู้ มีไมโครโฟน และลำโพงเพิ่มความชัดเจนในการสื่อสารระหว่างแพทย์ผู้ตรวจและผู้เข้ารับการตรวจที่อยู่ภายนอกตู้ตรวจ รวมทั้งยังสามารถเปิดช่องให้ผู้ป่วยยื่นมือเข้าไปในตู้เพื่อทำการเจาะเลือดได้อีกด้วย ซึ่งการพัฒนาประสิทธิภาพการใช้งานอย่างต่อเนื่องของตู้ตรวจความดันบวกดังกล่าว คณะวิศวฯ ได้รับคำแนะนำจากการใช้งานจริงของทีมแพทย์ โรงพยาบาลศิริราช
จากสถานการณ์โควิด-19 เมื่อปี 2563 ตู้ความดันบวก เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีความจำเป็น และเป็นที่ต้องการของโรงพยาบาล โดยคณะวิศวฯ ได้ผลิตตู้ความดันบวกไปส่งมอบให้กับทีมแพทย์โรงพยาบาลศิริราช เพื่อใช้คัดกรองผู้ป่วยมะเร็งก่อนเข้ารับการผ่าตัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เฉลี่ยชั่วโมงละ 20 คน ซึ่งผลการใช้งานเป็นที่พึงพอใจของแพทย์เป็นอย่างมาก
ล่าสุดในสถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่ ปี 2564 คณะวิศวฯ มก. ได้ผลิตและส่งตู้ความดันบวกไปยังโรงพยาบาลต่าง ๆ เช่น โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ โรงพยาบาลพระปิ่นเกล้า และโรงพยาบาลพระปกเกล้า จ.จันทบุรี
ทีมผู้พัฒนายังคงพัฒนาและปรับปรุงอุปกรณ์ย่อยของตู้ตรวจความดันบวกอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับให้มีความเหมาะสมกับการใช้งานของบุคลากรทางการแพทย์ รวมทั้งเพื่อลดการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศด้วยต่อไป ในอนาคต….